ธาตุอาหารตรึงได้จากน้ำและอากาศ 3 ธาตุ 1. ธาตุคาร์บอน (C) 2. ธาตุไฮโดรเจน (H) 3. ธาตุออกซิเจน (O)
ธาตุอาหารหลัก 3 ธาตุ
1. ธาตุไนโตรเจน
(N)
หน้าที่และความสำคัญต่อต้นพืชช่วยทำให้พืชตัวตัวได้เร็วในระยะแรกของการเจริญเติบโต
ช่วยเสริมใบและลำต้นให้มีสีเขียวเข้ม
และช่วยเพิ่มปริมาณโปรตีนให้แก่พืชที่ใช้เป็นพืชอาหาร เช่น
ข้าวหรือ อาการของพืชที่ขายธาตุไนโตรเจน 1. ใบจะเหลืองผิดปกติจากใบล่างไปสู่ยอด 2. ลำต้นจะผอม กิ่งก้านลีบเล็ก และมีใบน้อย 3. พืชบางชนิดอาจจะมีลำต้นสีเหลือง หรืออาจจะมีสีชมพูเจือปนด้วย 4. ใบพืชที่มีสีเหลือง ปลายใบและขอบใบจะค่อย ๆ แห้งและลุกลามเข้ามาเรื่อย ๆ จนใบร่วงจากลำต้นก่อนกำหนด พืชจะไม่เติบโต หรือโตช้ามาก 2. ธาตุฟอสฟอรัส (P) หน้าที่และความสำคัญต่อต้นพืช 1. ช่วยให้ราดดึงดูดโปแตสเซียมเข้ามาใช้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น
3. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากฝอยและรากแขนงในระยะแรกของการเจริญเติบโต 4. ช่วยเร่งให้พืชแก่เร็ว ช่วยในการออกดอก และสร้างเมล็ดของพืช 5. เพิ่มความต้านทานต่อโรคบางชนิด ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี 6. ทำให้ลำต้นของพืชจำพวกข้างแข็งขึ้นไม่ล้มง่าย อาการของพืชที่ขายธาตุฟอสฟอรัส 1. พืชจะชะงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรน พืชบางชนิดอาจจะมีลำต้นบิดเป็นเกลียว เนื้อไม้จะแข็ง แต่เปราะและหักง่าย 2. รากจะเจริญเติบโตและแพร่กระจายลงในดินช้างกว่าที่ควร ดอกและผลที่ออกมาไม่สมบูรณ์ หรือบางครั้งอาจหลุดร่วงไป หรืออาจมีขนาดเล็ก 3. พืชจำพวกลำต้นอวบน้ำหรือลำต้นอ่อน ๆ จะล้มง่าย 4. ใบแก่จะเปลี่ยนสีหรือพืชบางชนิดใบจะเป็นสีม่วง 5. อาการจะเกิดขึ้นกับใบล่าง ๆ ของต้นขึ้นไปหายอด 3. ธาตุโปแตสเซียม (K) หน้าที่และความสำคัญต่อต้นพืช 1. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก ทำให้รากดูดน้ำได้ดีขึ้น
3. ทำให้พืชมีคามต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ 4. ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ 5. ช่วยป้องกันผลเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับพืช เนื่องจากการได้รับไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมากเกินไป 6. ช่วยเพิ่มคุณภาพของพืชผักและผลไม้ โดยทำให้พืชมีสีสัน ขนาด ความหวาน และคงทนต่อสภาวะแวดล้อมได้ อาการของพืชที่ขายธาตุโปแตสเซียม 1. ขอบใบเหลือง และกลายเป็นสีน้ำตาล โดยเริ่มต้นจากปลายใบเข้าส่งกลางใบ ส่วนที่เป็นสีน้ำตาลจะแห้งเหี่ยวไป จะเกิดจากใบล่างก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ลามขึ้นข้างบน พืชที่เห็นชัดคือข้าวโพด 2. ทำให้ผลผลิตตกต่ำ พืชจำพวกธัญพืชจะทำให้เมล็ดลีบ มีน้ำหนักเบา พืชหัวจะมีแป้งน้อยและน้ำมาก ข้าวโพดจะมีเมล็ดไม่เต็มฝัก ฝักจะเล็กมีรูปร่างผิดปกติ ใบยาสูบมีคุณภาพต่ำ ติดไฟยาก กลิ่นไม่ดี พืชจำพวกฝ้ายใบจะมีสำน้ำตาลปนแดง สมอฝ้ายที่เกิดขึ้นจะไม่อ้าเต็มที่เมื่อแก่
ธาตุอาหารรอง 3 ธาตุ
1.
ธาตุแคลเซียม
(Ca)เป็นธาตุที่ต้นพืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตในตัวพืช
ช่วยส่งเสริมการนำธาตุไนโตรเจนจากดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในระยะออกดอกและระยะที่สร้างเมล็ดพืชจะมีความจำเป็นมาก
เพราะธาตุแคลเซียมจะมีส่วนในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในพืช
เพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลและเมล็ดต่อไป
2.
ธาตุแมกนีเซียม (Mg)
เป็นองค์ประกอบของส่วนที่เป็นสีเขียว ทั้งที่ใบและส่วนอื่น ๆ
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างอาหารและโปรตีนพืช
3.
ธาตุกำมะถัน (S)
กำมะถันมีความจำเป็นต่อการสร้างโปรตีนพืช
เป็นองค์ประกอบของวิตามินบางตัวที่มีผลทางอ้อมต่อการสร้างสีเขียวของพืช
ซึ่งจะช่วยให้เกิดการหายใจและการปรุงอาหารพืช
ธาตุอาหารเสริม หรือจุลธาตุ 7 ธาตุ
1. ธาตุโบรอน
(B)
มีบทบาทเกี่ยวข้องต่อการดูดดึงธาตุอาหารพืช
ช่วยให้พืชดูดเอาธาตุแคลเซียมและไนโตรเจนไปใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยให้พืชใช้ธาตุโปแตสเซียมได้มากขึ้น
มีบทบาทใน
2. ธาตุสังกะสี
(Zn)
สังกะสีมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนพืช กล่าวคือ
พืชที่ขาดธาตุสังกะสีจะให้ปริ
3. ธาตุเหล็ก
(Fe)
ธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบของโปรตีน
และมีบทบาทสำคัญในการปรุงอาหารของพืช
ช่วยกระตุ้นให้การหายใจและการปรุงอาหารของพืชเป็นไปอย่างสมบูรณ์ การแก้ไข ตามปกติช่วงความเป็นกรด-ด่างของดินที่พืชสามารถนำธาตุเหล็กไปใช้ได้คือ ค่า pH ระหว่าง 5.5-5.6 แต่ถ้าค่า pH ต่ำกว่านี้ จะทำให้ปริมาณของธาตุเหล็กมีมากเกินไปจนก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อพืชได้ ธาตุเหล็กจะไปตรึงธาตุฟอสฟอรัสไว้จนพืชไม่สามารถนำไปใช้ได้ การแก้ไขด้วยการฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมทางใบ เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการขาดธาตุเหล็กได้
4. ธาตุทองแดง
(Cu)
หน้าที่ของธาตุทองแดง มีผลต่อพืชโดยอ้อม
ในการสร้างส่วนที่เป็นสีเขียวของพืช ช่วยเพิ่มโมเลกุลของคลอโรฟิลล์
และป้องกันการถูกทำลายส่วนสีเขียว
นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบของน้ำย่อยในพืช
ซึ่งมี
5.
ธาตุแมงกานีส (Mn)
ธาตุนี้มีผลกระทบต่อใบ
เนื่องจากมีบทบาทในการสั่งเคราะห์แสง
เป็นตัวกระตุ้นการ
6.
ธาตุโมลิบดินัม (Mo)
บทบาทและหน้าที่ของธาตุโมลิบดินัมในพืชนั้น
ทำให้การทำงานของธาตุไนโตรเจนในพืชสมบูรณ์ขึ้น นอกจากนี้
ยังจำเป็นสำหรับขบวนการสร้างสารสีเขียวและน้ำย่อยภายในพืชบางชนิดด้วย 7. ธาตุคลอรีน (Cl) คอลรีนมีความสำคัญต่อขบวนการสังเคราะห์แสง มีผลทำให้พืชแก่เร็วขึ้น พืชที่ขาดธาตุคลอรีนใบจะซีด เหี่ยว และใบสีเหลืองบรอนซ์ ถ้ามีคลอรีนมากจำทำให้ของใบแห้ง ใบจะเหลืองก่อนกำหนด
การเปรียบเทียบธาตุอาหาร การผลิตปุ๋ยหมักใช้เองโดยให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้งานจำเป็นต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่พืชแต่ละชนิด การผลิตปุ๋ยจะต้องให้ตรงกับความต้องการของต้นพืช ในแต่ละช่วงระยะ เช่น ช่วงการเจริญเติบโต ระยะเวลา การออกดอก ระยะเวลาการผลิตผล และการรักษา บำรุง ซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของต้นพืช ให้มีความเจริยงอกงาม ตามระยะเวลาที่เมาะสม การเพิ่มสารอาหารแก่ต้นพืช ต้องศึกษาว่าช่วงใดต้นพืชต้องการ ไนโตรเจน(N) สูงระยะเวลาใดต้องการ หรือไม่ต้องการ ฟอสฟอรัส (P) และโปตัสเซี่ยม (K) การให้ปุ๋ยที่ตรงกับความต้องการของพืช จะต้องศึกษาว่าการผลิตปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพควรจะใช้ มูลสัตว์ชนิดใด ที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของพืชในระยะเวลาหนึ่งๆ เนื่องจากค่าไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโปตัสเซี่ยม (K) ในมูลสัตว์แต่ละชนิดมีค่าแตกต่างกัน การผลิตปุ๋ยหมักจึงต้องคำนึงถึงการนำมูลสัตว์และปริมาณการใช้ที่ถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนการเลือกมูลสัตว์ที่จะนำไปใช้ในการผลิต ปุ๋ยหมัก จะต้องให้มีความชื้นน้อยที่สุด จะทำให้ค่าของมูลสัตว์ไม่เปลี่ยนแปลงในการคำนวณปริมาณการนำไปใช้
อัตราส่วนธาตุอาหารของมูลสัตว์ ที่ได้ศึกษาหาค่าเป็นร้อยละของ ความเป็นปุ๋ย วัดค่าได้ตามตารางต่อไปนี้
จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ค่าของปุ๋ยในมูลสัตว์แต่ละชนิด ให้ค่าเป็นปุ๋ยแก่พืชไม่เท่ากัน การทำปุ๋ยหมักให้มีคุณภาพและได้ผลดีแก่พืชแต่ละชนิด ให้ผลไม่เท่ากันด้วย การทำปุ๋ยหมักผู้ผลิตจะใช้มูลสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงต้องศึกษาว่าปุ๋ยหมักที่จะผลิตนั้น เพื่อจะนำไปเสริมสร้างส่วนใดของต้นพืช ดังนั้นการผลิตปุ๋ยหมักเพื่อนำไปใช้ให้ตรงกับความต้องการ ควรปฏิบัติดังนี้ 1. การทำปุ๋ยหมักเพื่อบำรุงลำต้น และใบ เพื่อใช้กับแปลงผักประเภทรับประทานใบ และลำต้น หรือพืชยืนต้นระยะเริ่มแรกที่ยังไม่ถึงระยะเวลาให้ผล การทำปุ๋ยหมักให้ใช้มูลสัตว์รวมหลายๆชนิด เพื่อเสริมสร้างส่วนต่างๆของพืชให้ครบถ้วน 2. การทำปุ๋ยหมักเพื่อเร่งดอก และให้มีผลดก การทำปุ๋ยหมักควรใช้ มูลไก่ (ไข่) และมูลค้างคาว เนื่องจากมูลสัตว์ 2 ชนิดนี้ ทีค่าฟอสฟอรัส (P) สูง หากผู้ผลิตไม่มีมูลค้างคาว เนื่องจากจะหายากในบางพื้นที่ ก็ให้ใช้มูลไก่ (ไข่) ชนิดเดียว แต่เพิ่มปริมาณ เป็น 2 เท่า จะทำให้พืชเร่งออกดอก และมีผลดกมาก 3. การทำปุ๋ยหมักเพื่อบำรุงให้ผลโตและความสมบูรณ์ มีรสชาติหวาน กรอบ อร่อย การทำปุ๋ยหมัก สูตรนี้ให้ใช้มูลวัวและมูลไก่ (ไข่) เนื่องจากมูลสัตว์ 2 ชนิดนี้ มีธาตุอาหารประเภทโปรตัสเซี่ยม (K) มากกว่ามูลสัตว์ประเภทอื่นๆ
เปรียบเทียบการใช้ปุ๋ยหมักกับปุ๋ยเคมี ในการทำการเกษตร ผู้ผลิตโดยทั่วไปมีความเชื่อว่า การใช้ปุ๋ยเคมีใส่ต้นพืช จะทำให้ต้นพืชมีความเจริญเติบโตงอกงามได้รวดเร็วแน่นอน และใช้ปริมาณน้อย ขาดความเชื่อมั่นในการใช้ปุ๋ยหมัก ซึ่งคิดว่า ต้องใช้ปริมาณมาก การทำยุ่งยาก และให้ผลต่อต้านพืชช้า จึงไม่นิยมใช้ปุ๋ยหมักในการปลูกพืช ระยะต่อมา ผลิตภัณฑ์จากพืชผลการเกษตรมีปัญหาด้านการตลาด ราคาตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูงประสบปัญหาการขาดทุน แต่ไม่มีทางเลือก เกษตรกรยิ่งผลิตมาก ยิ่งขาดทุนมาก เกิด ปัญหาหนี้สิน ที่ไม่สามารถชำระเงินคืนแก่สถาบันการเงินได้ เป็น ปัญหา ระดับชาติที่รัฐบาลทุกสมัยจะต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอยู่อย่าง ต่อเนื่อง อีกประเด็นหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ผลจากการทำเกษตรก้าวหน้านอกจาก จะทำให้ ดินเสียแล้ว ต้องใช้สารเคมีปราบแมลงและศัตรูติดต่อมาเป็น เวลานานสารตกค้างในดินที่โดนน้ำชะล้างลงแม่น้ำลำคลอง เป็นเหตุให้เกิดสิ่งแวดล้อมเป็นพิษแก่พืช สัตว์ และมนุษย์ ผลกระทบต่อสุขภาพ เกษตรกรได้รับสารพิษจากสารเคมี ซึ่งใช้ฉีดพ่นในแปลงพืชเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานๆ เป็นผลให้ร่างกายสะสมสารพิษไว้มาก เกิดอาการเจ็บป่วย เป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นพิการและเสียชีวิต ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เป็นภาระแก่ครอบครัวที่อาจจะต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเงินทอง นอกจากนั้นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีสารพิษตกค้าง เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน ทำให้ต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ ทางการเกษตรอีกด้านหนึ่งด้วย จากผลกระทบดังกล่าวยังตกเป็นภาระของทางรัฐบาลที่ต้องทุ่มงบประมาณด้านสาธารณะสุข เพิ่มขึ้นปีละมากๆ ตามไปด้วย
การผลิตพืชผัก เกษตรกรเครือข่ายการผลิตผัก โครงการพัฒนาเกษตรยั่งยืน ในพื้นที่ จังหวัดสิงห์บุรี ใช้ไม่พบ ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ ในการผลิตผักรายละ 1 ไร่ ดังข้อมูลการผลิตในปี 2543 โดยปฏิบัติดังนี้ 1. ไถดะและไถแปรอย่างละครั้ง แล้วตากดินไว้อย่างน้อย 7 วัน 2. ชักร่อง ย่อยดิน ใส่ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ อัตราประมาณ 2 กิโลกรัม/ตาราเมตร ถ้าเป็นดินทราย ใส่ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ อัตราประมาณ 4 กิโลกรัม/ตารางเมตร หากดินร่วน ใส่ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ อัตราประมาณ 1.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน รดน้ำให้ชื้นแล้วใช้น้ำชีวภาพและกากน้ำตาลอย่างละ 5 ลิตรผสมกับน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่ 3.ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพในอัตราเดียวกับข้อ 2 ซ้ำอีกครั้งในตอนเช้าหรือเย็นของวันถัดไป คลุมฟางหรือคลุมพลาสติก ให้ดินมีความชื้น นานประมาณ 7วัน 4. ผักกินใบและกินผล ฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพสูตร1 สูตรถั่วเหลือง สูตรนมสด สูตรใดสูตรหนึ่ง อัตรา 30-50 CC/น้ำ 20 ลิตร หลังเมล็ดงอกหรือย้ายกล้าประมาณ 7 วัน ในผักกินใบ ระยะออกดอกและติดผล ฉีดพ่นด้วยปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ สูตร 3 สูตร 4 สูตรนมสด สูตรถั่วเหลือง สูตรใดสูตรหนึ่ง อัตรา 30-50 CC/น้ำ 20 ลิตร ทุก 5-7 วัน กรณีมีโรคที่เกิดจากเชื้อราหรือแมลงศัตรูพืช ใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพสมุนไพรป้องกันกำจัดเชื้อราหรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชผสมรวมไปด้วย โดยใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพผสมรวมทั้งหมดในอัตรา 30-50 CC/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นหรือให้พร้อมกับน้ำระบบสปริงเกอร์ ทุก 5-7 วัน 5. ผักกินใบ โรยแต่งหน้าให้ทั่งแปลงด้วยปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพ ทุก 15 วัน หลังเมล็ดงอกหรือย้ายกล้า อัตราประมาณ 1 กิโลกรัม/ตารางเมตร ส่วนผักกินผล ใช้ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพโรยบริเวณโคนต้นในระยะติดผลและหลังเก็บผลผลิตอัตรา 50-100 กรัม/ต้น ........................................................................................... แหล่งที่มา : สำนักสำรวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ...........................................................................................
|